เมล็ดงาขี้ง้อนออร์แกนิค (แบบดิบ) 300 กรัม
เมล็ดงาขี้ม้อน เป็นพืชพื้นเมืองในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในพื้นที่ราบสูงของอินเดีย โดยได้รับความนิยมในการนำไปบริโภคและใช้เป็นยาพื้นบ้านมาเป็นเวลานานนับศตวรรษ มีลักษณะเป็นรูปทรงรี ขนาดเล็ก มีสีหลากหลายตามธรรมชาติ เช่น สีเทา สีน้ำตาล สีขาว และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผสานระหว่างความมัน กลิ่นดินจางๆ และกลิ่นสมุนไพรสด เมล็ดงาขี้ม้อนจึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยเพิ่มมิติของกลิ่นและรสชาติให้กับอาหารได้อย่างมีเอกลักษณ์
เมล็ดงาขี้ม้อนยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด Alpha-Linolenic Acid (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ โดยกรดไขมันชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสังเคราะห์ EPA และ DHA ซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ เช่น Rosmarinic Acid และ Luteolin ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านความเครียดจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในระดับเซลล์ ช่วยส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ เมล็ดงาขี้ม้อนยังสามารถนำไปเป็นหนึ่งในวัตถุดิบให้กับเมนูต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เพียงนำไปบดเป็นผง หลังจากนั้นนำไปโรยบนข้าว โจ๊ก สลัด ซุป โยเกิร์ต หรือเมนูเพื่อสุขภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหอมและคุณค่าทางโภชนาการ
ทำไมต้อง RAWGANIQ
- รับรองออร์แกนิคมาตรฐานอเมริกา (USDA) และยุโรป (EU) ครอบคลุมวัตถุดิบทุกชนิด และโรงงาน (ดูใบรับรอง)
- คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก การันตีทั้งเรื่องคุณภาพและราคา
- ผลิตและแบ่งบรรจุในโรงงานที่มีใบอนุญาตจากอ.ย. และได้รับการรับรองมาตรฐาน GHPs/HACCP Codex (ดูใบรับรอง)
- เก็บรักษาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในห้องควบคุมอุณหภูมิ
- เลือกใช้เฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (eco-friendly packaging) ปลอดภัยสำหรับอาหาร (food-grade) และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสารตกค้างจากบรรจุภัณฑ์ (Migration test) เท่านั้น
- ผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประโยชน์ของเมล็ดงาขี้ม้อนออร์แกนิค:
- กรดไขมันแอลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลไขมันในเลือด โดยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันชนิดไม่ดี พร้อมช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้กรดโรสมารินิกยังช่วยลดความดันโลหิตด้วยการออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเอนไซม์ ACE
- สารสำคัญที่อยู่ในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยยับยั้งการผลิตไซโตไคน์ชนิดก่อการอักเสบ เช่น TNF-α และ IL-6 รวมถึงช่วยลดการผลิต IgE ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอาการแพ้ต่างๆ และกรดโรสมารินิกยังช่วยบรรเทาโรคหอบหืด ผื่นภูมิแพ้ และโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โดยจะช่วยยับยั้งการปล่อยสารจากแมสต์เซลล์และลดการสังเคราะห์ลิวโคไตรอีน
- ALA เป็นสารตั้งต้นของ DHA ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท จึงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ขณะเดียวกันสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดการอักเสบในระบบประสาทและช่วยลดความเสียหายจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้
- กรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ ALA มีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล โดยส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนินและโดปามีน
- ALA และกรดโรสมารินิก ช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยบรรเทาอาการอักเสบในโรคผิวหนัง เช่น โรคเรื้อนกวาง (eczema) และสะเก็ดเงิน (psoriasis)
- ใยอาหารในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
วิธีรับประทาน:
- นำเมล็ดงาขี้ม้อนไปคั่วไฟอ่อน จากนั้นนำไปโรยบนข้าว สลัด หรือโยเกิร์ต
- นำไปใส่ในซุปหรือสตูว์
- นำไปแช่ในน้ำซีอิ๊วหรือน้ำส้มสายชู ทานคู่กับข้าวหรือเป็นเครื่องเคียง
- แช่เมล็ดงาในน้ำ 8–12 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สะเด็ดน้ำ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3–4 วันจนกว่าจะเริ่มงอก จากนั้นนำไปใส่ในสลัดหรือแซนด์วิช เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
รูปแบบดั้งเดิม:
- เกาหลี – Deulkkae-garu: การนำงาไปคั่ว ใช้ผสมในซอสหรือซุป เพื่อเพิ่มความเข้มข้น
- ญี่ปุ่น – Shiso no mi: การนำเมล็ดธัญพืชไปดอง ใช้เป็นเครื่องเคียงหรือปรุงรส
- จีน – การแพทย์แผนจีน: การนำไปใช้ในรูปแบบน้ำต้มสมุนไพรหรือนำมาบดเป็นผง เพื่อช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร
ที่มา:
- Ezaki et al. (1999), Okamoto et al. (2000)
- Ueda et al. (2002), Sanbongi et al. (2004), Takano et al. (2004)
- Dyall (2015), Yu et al. (2017)
- Banno et al. (2004), Chen et al. (2004)
- Grosso et al. (2014)
- Lee et al. (2013)
- Barański et al. (2014)