จัดส่งฟรี ทั่วประเทศ ทุกยอดสั่งซื้อ 999 บาทขึ้นไป
จัดส่งฟรี ทั่วประเทศ ทุกยอดสั่งซื้อ 999 บาทขึ้นไป
ตะกร้า 0

เมล็ดงาขี้ง้อนออร์แกนิค (แบบดิบ) 300 กรัม

พร้อมส่ง
รหัสสินค้า :
PER
฿275.00

เมล็ดงาขี้ม้อน เป็นพืชพื้นเมืองในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในพื้นที่ราบสูงของอินเดีย โดยได้รับความนิยมในการนำไปบริโภคและใช้เป็นยาพื้นบ้านมาเป็นเวลานานนับศตวรรษ มีลักษณะเป็นรูปทรงรี ขนาดเล็ก มีสีหลากหลายตามธรรมชาติ เช่น สีเทา สีน้ำตาล สีขาว และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผสานระหว่างความมัน กลิ่นดินจางๆ และกลิ่นสมุนไพรสด เมล็ดงาขี้ม้อนจึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยเพิ่มมิติของกลิ่นและรสชาติให้กับอาหารได้อย่างมีเอกลักษณ์


เมล็ดงาขี้ม้อนยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด Alpha-Linolenic Acid (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ โดยกรดไขมันชนิดนี้เป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสังเคราะห์ EPA และ DHA ซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ


ทั้งยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ เช่น Rosmarinic Acid และ Luteolin ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านความเครียดจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในระดับเซลล์ ช่วยส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร


นอกจากนี้ เมล็ดงาขี้ม้อนยังสามารถนำไปเป็นหนึ่งในวัตถุดิบให้กับเมนูต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เพียงนำไปบดเป็นผง หลังจากนั้นนำไปโรยบนข้าว โจ๊ก สลัด ซุป โยเกิร์ต หรือเมนูเพื่อสุขภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหอมและคุณค่าทางโภชนาการ

 

    

ทำไมต้อง RAWGANIQ
  • รับรองออร์แกนิคมาตรฐานอเมริกา (USDA) และยุโรป (EU) ครอบคลุมวัตถุดิบทุกชนิด และโรงงาน (ดูใบรับรอง)
  • คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก การันตีทั้งเรื่องคุณภาพและราคา
  • ผลิตและแบ่งบรรจุในโรงงานที่มีใบอนุญาตจากอ.ย. และได้รับการรับรองมาตรฐาน GHPs/HACCP Codex (ดูใบรับรอง)
  • เก็บรักษาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในห้องควบคุมอุณหภูมิ
  • เลือกใช้เฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (eco-friendly packaging) ปลอดภัยสำหรับอาหาร (food-grade) และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสารตกค้างจากบรรจุภัณฑ์ (Migration test) เท่านั้น
  • ผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 

ประโยชน์ของเมล็ดงาขี้ม้อนออร์แกนิค:
  1. กรดไขมันแอลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลไขมันในเลือด โดยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันชนิดไม่ดี พร้อมช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้กรดโรสมารินิกยังช่วยลดความดันโลหิตด้วยการออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเอนไซม์ ACE
  2. สารสำคัญที่อยู่ในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยยับยั้งการผลิตไซโตไคน์ชนิดก่อการอักเสบ เช่น TNF-α และ IL-6 รวมถึงช่วยลดการผลิต IgE ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอาการแพ้ต่างๆ และกรดโรสมารินิกยังช่วยบรรเทาโรคหอบหืด ผื่นภูมิแพ้ และโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โดยจะช่วยยับยั้งการปล่อยสารจากแมสต์เซลล์และลดการสังเคราะห์ลิวโคไตรอีน
  3. ALA เป็นสารตั้งต้นของ DHA ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท จึงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ขณะเดียวกันสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดการอักเสบในระบบประสาทและช่วยลดความเสียหายจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้
  4. กรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ ALA มีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล โดยส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนินและโดปามีน
  5. ALA และกรดโรสมารินิก ช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยบรรเทาอาการอักเสบในโรคผิวหนัง เช่น โรคเรื้อนกวาง (eczema) และสะเก็ดเงิน (psoriasis)
  6. ใยอาหารในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้

วิธีรับประทาน:
  • นำเมล็ดงาขี้ม้อนไปคั่วไฟอ่อน จากนั้นนำไปโรยบนข้าว สลัด หรือโยเกิร์ต
  • นำไปใส่ในซุปหรือสตูว์
  • นำไปแช่ในน้ำซีอิ๊วหรือน้ำส้มสายชู ทานคู่กับข้าวหรือเป็นเครื่องเคียง
  • แช่เมล็ดงาในน้ำ 8–12 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สะเด็ดน้ำ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3–4 วันจนกว่าจะเริ่มงอก จากนั้นนำไปใส่ในสลัดหรือแซนด์วิช เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

รูปแบบดั้งเดิม:

  • เกาหลี – Deulkkae-garu: การนำงาไปคั่ว ใช้ผสมในซอสหรือซุป เพื่อเพิ่มความเข้มข้น
  • ญี่ปุ่น – Shiso no mi: การนำเมล็ดธัญพืชไปดอง ใช้เป็นเครื่องเคียงหรือปรุงรส
  • จีน – การแพทย์แผนจีน: การนำไปใช้ในรูปแบบน้ำต้มสมุนไพรหรือนำมาบดเป็นผง เพื่อช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจและระบบย่อยอาหาร

ที่มา:
  1. Ezaki et al. (1999), Okamoto et al. (2000)
  2. Ueda et al. (2002), Sanbongi et al. (2004), Takano et al. (2004)
  3. Dyall (2015), Yu et al. (2017)
  4. Banno et al. (2004), Chen et al. (2004)
  5. Grosso et al. (2014)
  6. Lee et al. (2013)
  7. Barański et al. (2014)