จัดส่งฟรี ทั่วประเทศ ทุกยอดสั่งซื้อ 999 บาทขึ้นไป
จัดส่งฟรี ทั่วประเทศ ทุกยอดสั่งซื้อ 999 บาทขึ้นไป
ตะกร้า 0

เมล็ดงาขี้ม้อนบดผงออร์แกนิค 300 กรัม

พร้อมส่ง
รหัสสินค้า :
PEP
฿299.00

งาขี้ม้อนบดผงออร์แกนิค แบรนด์รอแกนิค ผลิตจากเมล็ดงาขี้ม้อนออร์แกนิคคุณภาพสูง ที่เพาะปลูกในสภาพอากาศที่สะอาด และมีความอุดมสมบูรณ์ในอินเนอร์มองโกเลีย

งาขี้ม้อนมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่ราบสูงของอินเดีย มีการเพาะปลูกมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ เป็นหนึ่งในเมล็ดธัญพืชที่นิยมนำมาใช้ทั้งในด้านอาหารและด้านการแพทย์แผนโบราณ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายถั่วผสานกับความหอมของสมุนไพรตามธรรมชาติ เจือด้วยกลิ่นดินจางๆ มักนิยมนำมาผสมในอาหารเพื่อช่วยเพิ่มมิติของกลิ่นและรสชาติให้กับเมนูต่างๆ ได้อย่างลงตัว

อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีบทบาทในการช่วยดูแลสุขภาพหัวใจ ช่วยลดการอักเสบ และช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำไปผสมในสมูทตี้ ขนมอบ หรืออาหารคาวต่างๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมอ่อนๆ และคุณค่าทางโภชนาการให้กับทุกเมนูโปรดของคุณ

 

    

ทำไมต้อง RAWGANIQ
  • รับรองออร์แกนิคมาตรฐานอเมริกา (USDA) และยุโรป (EU) ครอบคลุมวัตถุดิบทุกชนิด และโรงงาน (ดูใบรับรอง)
  • คัดสรรเฉพาะวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก การันตีทั้งเรื่องคุณภาพและราคา
  • ผลิตและแบ่งบรรจุในโรงงานที่มีใบอนุญาตจากอ.ย. และได้รับการรับรองมาตรฐาน GHPs/HACCP Codex (ดูใบรับรอง)
  • เก็บรักษาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในห้องควบคุมอุณหภูมิ
  • เลือกใช้เฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (eco-friendly packaging) ปลอดภัยสำหรับอาหาร (food-grade) และผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสารตกค้างจากบรรจุภัณฑ์ (Migration test) เท่านั้น
  • ผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ 

ประโยชน์ของงาขี้ม้อนบดผงออร์แกนิค:
  1. กรดไขมันแอลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลไขมันในเลือด โดยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันชนิดไม่ดี พร้อมช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้กรดโรสมารินิกยังช่วยลดความดันโลหิตด้วยการออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเอนไซม์ ACE
  2. สารสำคัญที่อยู่ในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยยับยั้งการผลิตไซโตไคน์ชนิดก่อการอักเสบ เช่น TNF-α และ IL-6 รวมถึงช่วยลดการผลิต IgE ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับอาการแพ้ต่างๆ และกรดโรสมารินิกยังช่วยบรรเทาโรคหอบหืด ผื่นภูมิแพ้ และโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โดยจะช่วยยับยั้งการปล่อยสารจากแมสต์เซลล์และลดการสังเคราะห์ลิวโคไตรอีน
  3. ALA เป็นสารตั้งต้นของ DHA ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท จึงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ขณะเดียวกันสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดการอักเสบในระบบประสาทและช่วยลดความเสียหายจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้
  4. กรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ ALA มีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล โดยส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนินและโดปามีน
  5. ALA และกรดโรสมารินิก ช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวี เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยบรรเทาอาการอักเสบในโรคผิวหนัง เช่น โรคเรื้อนกวาง (eczema) และสะเก็ดเงิน (psoriasis)
  6. ใยอาหารในเมล็ดงาขี้ม้อนมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้

วิธีรับประทาน:
  • ใส่งาขี้ม้อนบดผง 1–2 ช้อนชา ปั่นรวมกับผลไม้หรือผักใบเขียวเพื่อทำสมูทตี้
  • โรยงาขี้ม้อนบดผงประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ลงในโยเกิร์ต กราโนล่า หรือโอ๊ตมีลเพื่อเพิ่มความหอมมัน
  • ใช้แทนแป้งบางส่วน (ประมาณ 10–15%) สำหรับทำขนมอบ ขนมปัง หรือมัฟฟิน
  • ใส่งาขี้ม้อนบดผง 1 ช้อนชาลงในซุปหรือซอสต่างๆ เพื่อเพิ่มความข้น (เติมหลังจากยกออกจากความร้อน)

การใช้แบบดั้งเดิม:

  • เกาหลี – "Deulkkae-garu": ผสมกับน้ำเปล่าหรือซีอิ๊ว ใช้เป็นซอสจิ้มผักต่างๆ
  • ชงดื่มเป็นชา: งาขี้ม้อนบดผง 1 ช้อนชาในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้งตามชอบ

สำหรับใช้ภายนอก:

  • มาสก์หน้า: ผสมกับน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ต ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ช่วยลดการอักเสบของผิว

เคล็ดลับการใช้เพิ่มเติม:

  • แนะนำให้เริ่มรับประทานจากวันละ 1 ช้อนชา ไม่เกิน 1–2 ช้อนโต๊ะต่อวัน (เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง)
  • ไม่แนะนำให้ใช้กับอุณหภูมิที่สูงกว่า 120°C (248°F) และควรเติมหลังจากปรุงอาหารเสร็จ

การจับคู่เพื่อเสริมประสิทธิภาพ:

  1. วิตามินซี (เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว) ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
  2. พริกไทยดำ ช่วยเพิ่มการดูดซึมกรดโรสมารินิก (Rosmarinic acid)

ที่มา:
  1. Ezaki et al. (1999), Okamoto et al. (2000)
  2. Ueda et al. (2002), Sanbongi et al. (2004), Takano et al. (2004)
  3. Dyall (2015), Yu et al. (2017)
  4. Banno et al. (2004), Chen et al. (2004)
  5. Grosso et al. (2014)
  6. Lee et al. (2013)
  7. Barański et al. (2014)